เมนู

ไว้มั่นคง ดุจม้าอาชาไนยที่ดี ถือประทีปจากที่นั้นไป
ยังวิหาร มองเห็นที่นอน จึงเข้าไปที่เตียง.
ต่อนั้น ก็ถือลูกดาลชักไส้ประทีปออกไป ความ
หลุดพ้นทางใจ ก็ได้มีเหมือนความดับของประทีปที่
ติดโพลง ฉะนั้น.

จบ ปฏาจาราเถรีคาถา

10. อรรถกถาปฏาจาราเถรีคาถา


คาถาว่า นงฺคเลหิ กสํ เขตฺตํ เป็นต้น เป็นคาถาของพระปฏา-
จาราเถรี.

ความพิสดารว่า พระเถรีรูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
ปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนครอบครัว ในกรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง
ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ เป็นเลิศของภิกษุณีผู้ทรงวินัย กระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป
ปรารถนาตำแหน่งนั้น. นางกระทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายไปในเทวดา
และมนุษย์ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียร
ของพระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกิ เป็นพระราชธิดาองค์หนึ่ง ระหว่างพระพี่น้อง
นาง 7 องค์ ทรงประพฤติโกมาริพรหมจรรย์มาตลอด 20,000 ปี ได้ทรง
สร้างบริเวณถวายพระภิกษุสงฆ์. นางจุติจากนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก เสวย
ทิพยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในครอบครัวเศรษฐี
เติบโตเป็นสาวแล้ว ได้ทำความสนิทเสน่หากับคนงานคนหนึ่งในเรือนของตน

บิดามารดาได้กำหนดวันที่จะส่งมอบนางให้ชายหนุ่ม ซึ่งมีชาติเสมอกัน. นาง
รู้เรื่องนั้นแล้วก็หยิบฉวยทรัพย์ที่สำคัญไว้ในมือ ออกไปทางประตูสำคัญกับ
ชายที่สนิทเสน่หาคนนั้น อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง ก็ตั้งครรภ์. เมื่อครรภ์
แก่ นางก็พูดว่า นายจำ ประโยชน์อะไรที่จะอยู่อนาถาในที่นี้ ฉันจะกลับไป
เรือนของครอบครัวละ เมื่อสามีพูดผัดเพี้ยนว่า วันนี้จะไป พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด
นางคิดว่าผู้นี้โง่คงไม่พาเรากลับไปบ้านแน่ เมื่อสามีไปนอกบ้านแล้ว ก็เก็บงำ
สิ่งของที่ควรเก็บงำไว้ในเรือน แล้วสั่งคนที่อยู่ใกล้บ้านเรือนเคียงที่คุ้นเคยไว้
ให้ช่วยบอกสามีว่า นางกลับไปเรือนตระกูลแล้ว เดินทางไปลำพังผู้เดียว
หมายกลับเรือนตระกูล สามีกลับบ้านไม่พบภริยา ถามพวกคนคุ้นเคย ก็
ทราบว่านางกลับบ้านเดิม ครุ่นคิดว่า เพราะตัวเราเอง นางจึงเป็นคนอนาถา
จึงเดินสะกดรอยก็ไปทันกัน. นางตลอดบุตร ในระหว่างทางนั่นเอง นับแต่
คลอดบุตรแล้ว นางก็ระงับการขวนขวายที่จะไปบ้าน พาสามีกลับไป. แม้ครั้ง
ที่สอง นางก็มีครรภ์. คำดังกล่าวมานี้เป็นต้นทั้งหมด พึงทำให้พิศดารโดย
นัยก่อน ๆ นั่นแล.
แต่ความต่างกันมีดังนี้ คราวที่อยู่ในระหว่างทาง ลมกัมมัชวาต
เกิดปั่นป่วน เมฆฝนอันมิใช่ฤดูกาลก็ตกลงมาห่าใหญ่ ท้องฟ้ามีหยาดฝนตก
ลงมาไม่ขาดสาย สายฟ้าก็แลบแปลบปลาบไปรอบ ๆ เสียงเมฆคำรามดังจะ
แตกทะลาย. นางเห็นแล้วก็พูดกะสามีว่า นายจ๋า ช่วยสร้างที่บังฝนหน่อยสิจ๊ะ
สามีก็สำรวจดูที่โน่นที่นี่ พบพุ่มไม้มีหญ้าปกคลุมแห่งหนึ่ง จึงไปที่นั้น
ประสงค์จะตัดท่อนไม้ที่พุ่มไม้นั้น ด้วยมีดที่ถืออยู่ในมือ จึงตัดต้นไม้ซึ่ง
อยู่ที่พุ่มไม้นั้น ท้ายจอมปลวกที่หญ้าปกคลุม ในทันใดงูพิษร้ายก็เลื้อยออกมา
จากจอมปลวกนั้น กัดเขา ล้มลงตายอยู่ในที่นั้นนั่นเอง. นางต้องประสบทุกข์

มาก รอคอยการกลับมาของสามี โอบลูกน้อยทั้งสองซึ่งทนลมฝนไม่ไหวร้องไห้
จ้าไว้แนบอก สองเข่าสองมือยึดพื้นดินไว้มั่นอยู่ท่านั้นตลอดคืน เมื่อราตรี
สว่างก็เอาลูกคนหนึ่งซึ่งมีสีคล้ายชิ้นเนื้อนอนบนเบาะผ้าเก่า โอบด้วยมือกกด้วย
อกแล้วกล่าวกะลูกอีกคนหนึ่งว่า มานี่ลูก พ่อเจ้าไปทางนี้แล้วมองดูตามทางที่
สามีไป พบสามีนอนตายอยู่ใกล้ ๆ จอมปลวก จึงร้องไห้คร่ำครวญว่า เพราะ
ตัวเราทีเดียว สามีเราจึงตาย ระหว่างทางก็ถึงแม่น้ำ ซึ่งกระแสน้ำไหลแค่เข่า
แค่นม เพราะฝนตกตลอดทั้งคืนไม่สามารถจะข้ามน้ำพร้อมกับลูกสองคนใน
คราวเดียวได้ เพราะตนมีความรู้น้อยและอ่อนแอ จึกพักลูกคนโตไว้ฝั่งนี้
พาลูกคนเล็กไปยังฝั่งโน้น ปูกิ่งไม้หักไว้ให้ลูกอ่อน นอนบนเบาะผ้าเก่าบน
กิ่งไม้ลาดนั้น คิดจะไปหาลูกอีกคนหนึ่ง แต่ไม่อาจจะละลูกอ่อนได้ จึงกลับ
ไปกลับมา มองดูพลางลงน้ำ.
ขณะที่นางไปถึงกลางแม่น้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเด็กอ่อนนั้น นึกว่า
เป็นชิ้นเนื้อ จึงโผลงจากอากาศ นางเห็นเหยี่ยวนั้นจึงยกสองมือขึ้นไล่ ทำ
เสียงดัง ๆ สามครั้งว่า สุ สุ เหยี่ยวไม่สนใจอาการของนางนั้น เพราะอยู่ไกล
กัน ก็เฉี่ยวเอาเด็กอ่อนนั้นเหินขึ้นอากาศไป ลูกคนที่ยืนอยู่ฝั่งนี้ เห็นมารดา
ยกสองมือส่งเสียงดัง ก็นึกว่าแม่เรียกตัว จึงโดดลงน้ำไปโดยเร็ว. ลูกอ่อน
ของนางถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป ลูกคนโตก็ถูกน้ำพัดไป ด้วยประการฉะนี้. นาง
ร้องไห้คร่ำครวญว่า ลูกเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป
สามีเราก็ตายที่หนทาง พลางเดินไปพบชายผู้หนึ่งถามว่า พ่อท่าน เป็นชาว
เมืองไหนจ๊ะ ชายผู้นั้นตอบว่า เป็นชาวกรุงสาวัตถีจ้ะแม่คุณ. ถามว่า มีตระกูล
ชื่อโน้น อยู่ที่ถนนโน้นในกรุงสาวัตถี พ่อท่านรู้จักไหมจ๊ะ. ตอบว่า รู้จักจ้ะ
แม่คุณ แต่อย่าถามข้าเลย ถามคนอื่นเถิดจ้ะ. นางกล่าวว่า คนอื่นข้าพเจ้า

ไม่ต้องการดอกจ้ะ จะถามท่านนี่แหละพ่อท่าน. ตอบว่า แม่คุณเอ๋ย โปรด
ไม่ให้บอกท่านไม่ได้หรือ วันนี้แม่นางเห็นฝนตกตลอดคืนยังรุ่งไหมเล่า.
ข้าพเจ้าเห็นจ้ะพ่อท่าน ฝนนั้นตกตลอดคืนยังรุ่ง สำหรับข้าพเจ้าด้วยจ้ะ
แต่ข้าพเจ้าจะเล่าเหตุนั้นภายหลัง ขอท่านโปรดเล่าเรื่องในเรือนเศรษฐีแก่
ข้าพเจ้าก่อนเถิดจ้ะ. แม่คุณเอ๋ย วันนี้เมื่อคืนนี้ เรือนล้มทับคน 3 คน คือ
เศรษฐี ภริยาของเศรษฐี และบุตรชายเศรษฐี ทั้งสามคน ถูกเผาบนเชิง
ตะกอนเดียวกัน ควันไฟที่พื้นยังเห็นอยู่เลยจ้ะแม่คุณ. ขณะนั้น นางจำไม่
ได้ว่าตนปราศจากผ้านุ่งห่มฟุบล้มลง โดยรูปที่เกิด เพราะเป็นคนบ้าด้วยความ
เศร้าโศก นางจึงวนเวียนเพ้อรำพันว่า
ลูกทั้งสองก็ตาย สามีเราก็ตายที่หนทาง บิดา
มารดาและพี่ชาย ก็ถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน.

นับตั้งแต่นั้นมา นางก็มีสมญาว่า ปฏาจารา เพราะมีอาจาระตกไป
เหตุไม่เที่ยวไปด้วยผ้าแม้แต่เพียงผ้านุ่ง. ผู้คนทั้งหลายเห็นนาง บางพวกก็
โยนขยะลงบนศรีษะ. พร้อมทั้งขับไล่ว่า ไปอีคนบ้า. บางพวกก็โปรยฝุ่น
อีกพวกหนึ่งก็ขว้างก้อนดินท่อนไม้ พระศาสดากำลังประทับนั่งทรงแสดงธรรม
ท่ามกลางบริษัทหมู่ใหญ่ ณ พระเชตวันวิหาร ทอดพระเนตรเห็นนางกำลัง
วนเวียนอย่างนั้น และทรงสำรวจดูความแก่กล้าแห่งญาณ ได้ทรงทำโดย
อาการที่นางจะบ่ายหน้ามายังพระวิหาร บริษัทเห็นนาง จึงกล่าวว่า อย่าให้
หญิงบ้ามาที่นี่นะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าห้ามนางเลย เมื่อนางมาถึง
ที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า แม่นางจงกลับได้สติ ในทันใด นางก็กลับได้สติ
พระพุทธานุภาพ รู้ตัวว่าผ้าที่นุ่งหลุดหล่นหมดแล้ว เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นมา
ก็นั่งคุกเข่าลง ชายผู้หนึ่งก็โยนผ้าห่มให้ นางนุ่งผ้านั้นแล้วก็เข้าเฝ้าพระศาสดา

ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วย เหยี่ยวเฉี่ยวเอาบุตรของข้าพระองค์ไปคน
หนึ่ง คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีก็ตายที่หนทาง บิดามารดาและพี่ชายก็ถูก
เรือนล้มทับตาย เขาเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน. นางก็ทูลเล่าถึงเหตุแห่งความ
เศร้าโศก. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนปฏาจารา เจ้าอย่าคิดไปเลย เจ้ามา
หาเราซึ่งสามารถจะเป็นที่พึ่งของเจ้าได้ ก็บัดนี้เจ้าหลั่งน้ำตา เพราะความ
ตายของลูกเป็นต้นเป็นเหตุ ฉันใด ในสังสารวัฏที่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตาม
ไปไม่รู้แล้ว ก็ฉันนั้น น้ำตาที่หลั่งเพราะความตายของลูกเป็นต้นเป็นเหตุ
ยังมากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้งสี่อีก เมื่อทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาว่า
น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ยังมีปริมาณน้อย ความ
เศร้าโศกของนรชนผู้ถูกทุกข์กระทบแล้ว น้ำของน้ำ
ตามิใช่น้อย มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4
นั้นเสียอีก แม่เอย เหตุไร เจ้าจึงขังประมาทอยู่เล่า.

เมื่อพระศาสดากำลังตรัสกถาบรรยายเรื่องสังสารวัฏ ที่มีเงื่อนต้นและ
เงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้ว ความเศร้าโศกของนางก็ค่อยทุเลาลง. ลำดับนั้น
พระศาสดาทรงทราบว่า นางมีความเศร้าโศกเบาบางแล้ว เมื่อทรงแสดงว่า ดู
ก่อนปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ก็ไม่อาจจะช่วย จะซ่อนเร้น
หรือเป็นที่พึ่งของคนที่กำลังไปสู่ปรโลกได้ ดังนั้น ปิยชนเหล่านั้นแม้มีอยู่ ก็ชื่อ
ว่าไม่มี เพราะฉะนั้นบัณฑิตพึงชำระศีลของตนแล้ว ทำทางที่จะไปพระนิพพาน
ให้สำเร็จ ดังนี้ จึงทรงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

ไม่มีบุตรที่จะช่วยได้ บิดาก็ไม่ได้แม้พวกพ้องก็
ไม่ได้ เมื่อความตายมาถึงตัวแล้ว หมู่ญาติ ก็ช่วยไม่ได้
เลย
สัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะ และทมะมีอยู่
ในผู้ใด พระอริยะทั้งหลายย่อมคบผู้นั้น นั่นเป็น
อนามตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย (นิพพาน) ในโลก.
บัณฑิตรู้ใจความข้อนี้แล้ว สำรวมในศีล พึง
รีบเร่งชำระทางไปพระนิพพานทีเดียว.

จบเทศนา นางปฏาจาราก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทูลชอบรรพชากะ
พระศาสดา พระศาสดาทรงนำไปสำนักภิกษุณีให้บรรพชา นางได้อุปสมบท
แล้ว ก็ทำกิจกรรมในวิปัสสนาเพื่อมรรคเบื้องบนขึ้นไป วันหนึ่ง ก็เอาหม้อนำ
น้ำมาล้างเท้ารดน้ำลง น้ำนั้นไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็ขาดหายไป รดครั้งที่สอง
น้ำก็ไปได้ไกลกว่าครั้งที่หนึ่งนั้น รดครั้งที่สามน้ำไปได้ไกลกว่าครั้งที่สองนั้น
นางยึดน้ำนั้นนั่นแหละเป็นอารมณ์ กำหนดวัยทั้งสามคิดว่า สัตว์เหล่านี้ตาย
เสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เรารดครั้งแรก ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมือน
น้ำที่รดครั้งที่สอง ที่ไปไกลกว่าครั้งแรกตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่
รดครั้งที่สามซึ่งไปได้ไกลกว่าครั้งที่สองนั้นเสียอีก พระศาสดาประทับนั่งอยู่ใน
พระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปประหนึ่งประทับยืนตรัสอยู่ต่อหน้านาง เมื่อ
ทรงแสดงความข้อนี้ว่า ดูก่อนปฏาจารา ข้อนั้นก็เป็นอย่างนั้นแหละ สัตว์
เหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีความตายเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นคนที่เห็นความเกิด
ความเสื่อมของปัญจขันธ์ มีชีวิตเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ยังประ-
เสริฐกว่าคนที่ไม่เห็นความเกิดความเสื่อมนั้น ถึงจะมีชีวิตเป็นอยู่ตั้ง 100 ปี
จึงตรัสพระคาถาว่า

คนที่เห็นความเกิดความเสื่อม [ของปัญจขันธ์]
มีชีวิตเป็นอยู่วันเดียวยังประเสริฐกว่า คนที่ไม่เห็น
ความเกิดความเสื่อมถึงจะมีชีวิตเป็นอยู่ตั้ง 100 ปี.

จบพระคาถา พระปฏาจาราภิกษุณี ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทา 4. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อปทานว่า1
พระปฏาจาราเถรีกล่าวบุพกรรมของตนว่า
พระชินพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรง
ถึงฝั่งแห่งสรรพธรรม ทรงเป็นผู้นำ เสด็จอุบัติใน
แสนกัปนับแต่กัปนี้ไป.
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในสกุลเศรษฐีผู้รุ่งโรจน์
ด้วยรัตนะนานาชนิด ในกรุงหงสวดี เปี่ยมด้วยสุขเป็น
อันมาก เข้าไปเฝ้าพระมหาวีระพระองค์นั้น ได้สดับ
พระธรรมเทศนา เกิดความเลื่อมใส ก็ถึงพระชิน-
พุทธเจ้าเป็นสรณะ.
ลำดับนั้น พระผู้ทรงเป็นผู้นำทรงยกย่องภิกษุณี
ผู้มีความละอาย คงที่ แกล้วกล้าในกิจที่ควรและไม่ควร
ว่าเป็นเลิศของภิกษุณีผู้ทรงพระวินัย.
ครั้งนั้น ข้าพเจ้ามีจิตยินดีปรารถนาตำแหน่งนั้น
จึงนิมนต์พระทศพลผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ให้เสวย
7 วัน ถวายไตรจีวร หมอบลงแทบพระยุคลบาทด้วย
เศียรเกล้า กราบทูลดังนี้ว่า

1. ขุ. 33/ข้อ 151 ปฏาจาราเถรีอปทาน.

ข้าแต่พระมุนีผู้เป็นปราชญ์ เป็นผู้นำ พระองค์
ทรงยกย่องภิกษุณีรูปใดไว้ในกัปที่ 8 นับแต่กัปนี้ไป
ข้าพระองค์จักเป็นเช่นภิกษุณีรูปนั้น ถ้าความ
ปรารถนาของข้าพระองค์สำเร็จ.
ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า แม่
นางเอย เจ้าอย่ากลัวเลย เบาใจได้ ในอนาคตกาล
เจ้าจักได้มโนรถ ความปรารถนานั้น ในแสนกัปนับ
แต่กัปนี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ทรงสม-
ภพในราชสกุลพระเจ้าโอกกากราช จักเป็นศาสดาใน
โลก เจ้าจักมีนามว่าปฏาจารา เป็นธรรมทายาทโอรส
ในธรรมของพระองค์ ถูกเนรมิตโดยธรรม เป็นสาวิกา
ของพระศาสดา.
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าดีใจมีจิตเมตตา บำรุงพระชิน-
พุทธเจ้า ผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ จนตลอดชีวิต.
ด้วยกรรมที่ทำมาดีนั้น และด้วยการตั้งใจไว้
ชอบ ข้าพเจ้าละกายมนุษย์แล้วก็ไปสู่สวรรค์ชั้นดาว-
ดึงส์.
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปเป็น
พราหมณ์มียศใหญ่ ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จ
อุบัติ ครั้งนั้นพระเจ้ากาสีจอมนรชน พระนามว่า กิกิ
ประทับ ณ กรุงพาราณสีราชธานี ทรงเป็นอุปฐาก
บำรุงพระกัสสปพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่.


ข้าพเจ้าเป็นราชธิดาองค์ที่สามของพระองค์
ปรากฏพระนานว่า ภิกขุนี ฟังธรรมของพระชินพุทธ-
เจ้าผู้เลิศแล้ว ก็ชอบใจบรรพชา พระราชบิดาไม่ทรง
อนุญาตพวกเรา ครั้งนั้นพวกเราจึงอยู่แต่ในพระราช-
มณเฑียร ไม่เกียจคร้าน ประพฤติโกมาริพรหมจรรย์
มาถึง 20,000 ปี.
พวกเราราชธิดา อยู่ในความสุข บันเทิง ยินดี
เนื่องนิตย์ในการบำรุงพระพุทธเจ้า เป็นพระราชธิดา
7 พระองค์ คือ สมณะ สมณคุตตา ภิกขุนี ภิกขุ
ทาสิกา ธัมมา สุธัมมา และสังฆทาสิกาที่ครบ 7.
บัดนี้ ก็คือข้าพเจ้า อุบลวรรณา เขมา ภัททา
ภิกขุนี กิสาโคตมี ธัมมทินนาและวิสาขาที่ครบ 7.
ด้วยกรรมที่ทำมาดีเหล่านั้น และด้วยการตั้งใจ
ไว้ชอบ ข้าพเจ้าละกายมนุษย์แล้ว ก็ไปสู่สวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ บัดนี้ภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดในสกุลเศรษฐี
ผู้มั่งคั่ง รุ่งเรือง มีทรัพย์มาก ในกรุงสาวัตถี ราชธานี
แคว้นโกศล.
ข้าพเจ้าเติบโตเป็นสาวตกอยู่ในอำนาจความวิตก
พบชายชนบทก็หนีตามไปกับเขา ข้าพเจ้าคลอดบุตร
คนหนึ่ง คนที่สองยังอยู่ในครรภ์ ข้าพเจ้าตกลงใจว่า
จะบอกบิดามารดา ข้าพเจ้าไม่บอกสามีของข้าพเจ้า
เมื่อสามีไปค้างแรม ข้าพเจ้าก็ออกจากบ้านลำพังคน

เดียว หมายจะไปกรุงสาวัตถี แต่นั้น สามีก็ตามมา
ทันข้าพเจ้าในระหว่างทาง.
ครั้งนั้น ลมกัมมัชวาตเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าอย่าง
ทารุณยิ่ง เมฆฝนขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นในเวลาที่ข้าพเจ้า
คลอดบุตร ขณะนั้น สามีไปหาทัพสัมภาระเพื่อ
กำบังฝน แต่ก็ถูกงูกัดตาย.
ครั้งนั้น เพราะทุกข์ที่คลอดบุตร ข้าพเจ้าก็เป็น
คนอนาถายากไร้ เห็นแม่น้ำเล็ก ๆ น้ำเต็มเปี่ยม ก็เดิน
ไปแม่น้ำตรงที่ตื้นเขิน พาลูกอ่อนข้ามน้ำ อีกคนหนึ่ง
เอาไว้ฝั่งโน้น ให้ลูกอ่อนดื่มนม เพื่อข้ามไปอีกฝั่ง
หนึ่ง เหยี่ยวโฉบเฉี่ยวลูกอ่อนที่ร้องจ้าไป ลูกอีกคน
หนึ่งกระแสน้ำพัดไป ข้าพเจ้านั้นเปี่ยมด้วยความเศร้า
โศก.
ข้าพเจ้ากลับไปกรุงสาวัตถี ได้ยินข่าวว่าบิดา
มารดาพี่ชายตายเสียแล้ว ครั้งนั้น ข้าพเจ้าถูกความ
เศร้าโศกบีบคั้น เต็มเปี่ยมด้วยความเศร้าโศกใหญ่หลวง.
บุตรทั้งสองก็ตาย สามีของข้าพเจ้าก็ตายเสียที่
หนทาง บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอน
เดียวกัน.
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าผอมเหลือง ไม่มีที่พึ่ง มีใจห่อ
เหี่ยว เดินซมซานไปพบพระผู้ทรงฝึกชนที่ควรฝึก
พระศาสดาได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า อย่าเศร้าโศกถึงบุตร

เลย จงเบาใจเถิด จงแสวงหาตนของเจ้าเถิด จะเดือด
ร้อนไร้ประโยชน์ไปทำไม.
ไม่มีบุตรที่จะช่วยได้ดอก บิดาก็ไม่ได้ แม้พวก
พ้องก็ไม่ได้ เมื่อความตายมาถึงตัว หมู่ญาติก็ช่วยไม่
ได้เลย.
ข้าพเจ้าฟังพระดำรัสของพระมุนีแล้วก็บรรลุผล
อันดับแรก [โสตาปัตติผล] แล้วก็บวช ไม่นานนักก็
บรรลุพระอรหัต.
ข้าพเจ้ากระทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดาก็
เป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ ในทิพโสตธาตุ รู้ปรจิตตวิชชา
รู้ปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุ ทำอาสวะให้สิ้น
ไปหมด เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน.
ต่อนั้น ข้าพเจ้าก็เล่าเรียนพระวินัยทั้งหมดใน
สำนัก ของพระผู้ทรงเห็นทุกอย่าง อย่างพิสดารและนำ
สืบทอดมา ตามเป็นจริง.
พระชินเจ้า ทรงยินดีในคุณข้อนั้น จึงทรง
สถาปนาข้าพเจ้าว่า ปฏาจาราภิกษุณีผู้เดียวเป็นเลิศ
ของภิกษุณี ผู้ทรงพระวินัย.
พระศาสดา ข้าพเจ้าก็บำรุงแล้ว คำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว.
ภาระหนัก ข้าพเจ้าก็ปลงลงแล้ว ตัณหาที่นำ
ไปในภพ ข้าพเจ้าก็ถอนเสียแล้ว คนทั้งหลายออกจาก

เรือนบวชไม่มีเรือน เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์
อันนั้น ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว ธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์
ทั้งหมด ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว.
กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็เผาเสียแล้ว ฯลฯ คำ
สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว.

ก็แล พระปฏาจาราเถรี ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาทบทวน
ถึงการปฏิบัติของตนในเวลาเป็นเสกขบุคคล เมื่อจะชี้แจงอาการบังเกิดของผล
เบื้องบน จึงได้กล่าวคาถาเหล่านั้นเป็นอุทานว่า
ผู้ชายทั้งหลายไถนาด้วยไถ หว่านเมล็ดพืชลง
ที่พื้นนา ย่อมได้ทรัพย์มาเลี้ยงดูบุตรภริยา ข้าพเจ้า
สมบูรณ์ด้วยศีล ทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ไม่
เกียจคร้าน ไม่ฟุ้งซ่าน ไฉนจะไม่ประสบพบพระ-
นิพพานเล่า.
ข้าพเจ้าล้างเท้า ใส่ใจนิมิตในน้ำ เห็นน้ำล้าง
เท้าไหลจากที่ดอนมาสู่ที่ลุ่ม แต่นั้น ข้าพเจ้าก็ตั้งจิต
ไว้ได้มั่นคง ดุจม้าอาชาไนยที่ดี ถือประทีปจากที่นั้น
เข้าไปยังวิหาร มองเห็นที่นอน จึงเข้าไปที่เตียง
ต่อนั้น ก็ถือลูกดาล ชักไส้ประทีปออกไป
ความหลุดพ้นทางใจก็ได้มี เหมือนความดับของประ
ทีปที่ติดโพลง ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กสํ ได้แก่ ไถนา ทำกสิกรรม ความจริง
คำนี้เป็นเอกวจนะ ใช้ในอรรถพหุวจนะ. บทว่า ปวปํ ได้แก่ หว่านเมล็ด

พืช. บทว่า ฉมา แปลว่า บนพื้นดิน. ความจริง คำนี้เป็นปฐมาวิภัตติ
ใช้ในอรรถสัตตมีวิภัตติ. ในข้อนี้ มีความสังเขป ดังนี้ว่า ผู้ชายคือสัตว์เหล่า
นี้ ไถนาด้วยไถ คือผาลทั้งหลาย หว่านเมล็ดพืชทั้งหลาย ที่ต่างโดยเป็น
ปุพพัณณชาติบ้าง อปรัณณชาติบ้าง ลงที่พื้นเนื้อนา ตามที่ประสงค์ ย่อมได้
ทรัพย์มาเลี้ยงดูตนและบุตรภริยาเป็นต้น เพราะการไถนาหว่านพืชนั้นเป็นเหตุ
เป็นนิมิต ธรรมดาว่า การทำอย่างลูกผู้ชาย คือความพากเพียรจำเพาะตน
ที่บุคคลประกอบโดยแยบคาย ก็มีผลมีกำไรอย่างนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิมหํ สีลสมฺปนฺนา สตฺถุสาสน-
การิกา นิพฺพานํ นาธิคจฺฉามิ อกุสีตา อนุทฺธตา
ความว่า ข้าพเจ้า
มีศีลบริสุทธิ์ดี ชื่อว่าไม่เกียจคร้าน เพราะเป็นผู้ปรารภความเพียร และชื่อว่า
ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นดีในภายใน กระทำคำสั่งสอนของพระศาสดา
กล่าวคือเจริญกรรมฐานที่มีสัจจะ 4 เป็นอารมณ์ เหตุไรจะไม่ประสบ คือบรรลุ
พระนิพพานเล่า.
ก็ พระเถรีครั้นคิดอย่างนี้แล้ว กระทำอยู่ซึ่งกรรมในวิปัสสนา ในวัน
หนึ่งถือนิมิตในน้ำล้างเท้า ด้วยเหตุนั้น พระเถรีจึงกล่าวว่า ปาทา ปกฺขาล-
ยิตฺวาน เป็นต้น. คำนั้นมีความว่า ข้าพเจ้าเมื่อล้างเท้า ในจำนวนน้ำที่รด
3 ครั้ง เหตุล้างเท้า ก็เห็นน้ำล้างเท้าไหลจากที่ดอนมาสู่ที่ลุ่ม ก็ทำให้เป็นนิมิต.
ข้าพเจ้าพิจารณาอนิจจลักษณะอย่างนี้ว่า น้ำนี้สิ้นไป เสื่อมไปเป็น
ธรรมดา ฉันใด อายุและสังขารของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น และพิจารณา
ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ ตามแนวนั้น เจริญวิปัสสนา แต่นั้นก็ทำ
จิตให้ตั้งมั่น เหมือนสารถีฝึกม้าอาชาไนยที่ดี อธิบายว่า สารถีผู้ฉลาด ฝึกม้า
อาชาไนยตัวสำคัญให้เชื่อฟังโดยง่าย ฉันใด ข้าพเจ้าฝึกจิตของตนให้ตั้งมั่นโดย

ง่าย ก็ฉันนั้น ได้การทำจิตที่ตั้งมั่นแล้ว ด้วยสมาธิสัมปยุตด้วยวิปัสสนา.
อนึ่ง ข้าพเจ้าเมื่อเจริญวิปัสสนาอย่างนั้น เข้าห้องน้อยเมื่อต้องการอุตุสัปปายะ
ถือประทีปเพื่อกำจัดความมืดเข้าห้องแล้ววางประทีป พอนั่งลงบนเตียง ก็หมุน
ไส้ประทีปขึ้นลงด้วยลูกดาล เพื่อเพ่งประทีป ทันใดนั่นเอง จิตของพระเถรีนั้น
ก็ตั้งมั่น เพราะได้อุตุสัปปายะ หยั่งลงสู่วิถีแห่งวิปัสสนา สืบต่อด้วยมรรค.
แต่นั้น อาสวะทั้งหลาย ก็สิ้นไปโดยประการทั้งปวง ตามลำดับมรรค. ด้วย
เหตุนั้น พระเถรีจึงกล่าวว่า แต่นั้น ข้าพเจ้าก็ถือประทีป ฯลฯ ความหลุดพ้น
ทางใจได้มีแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยํ โอโลกยิตฺวาน ได้แก่ เห็น
ที่นอนโดยแสงสว่างแห่งประทีป. บทว่า สูจึ ได้แก่ ลูกดาล. บทว่า วฏฺฏึ
โอกสฺสยามิ
ได้แก่หมุนไส้ประทีป ที่ตรงต่อน้ำมันขึ้นลง เพื่อดับประทีป. บท
ว่า วิโมกฺ โข ได้แก่ ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย. ก็วิโมกข์นั้น เพราะเหตุ
ที่เป็นความสืบต่อแห่งจิตโดยปรมัตถ์ ฉะนั้น พระเถรีจึงกล่าวว่า เจตโส
เหมือนอย่างว่าเมื่อปัจจัยมีไส้และน้ำมันมีอยู่ ประทีปที่ควรจะติดขึ้น แต่ไม่คิด
ขึ้นเพราะไม่มีปัจจัยนั้น จึงเรียกว่าดับ ฉันใด เมื่อปัจจัยมีกิเลสเป็นต้นมีอยู่
จิตที่ควรจะเกิดขึ้น แต่ไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีปัจจัยนั้น จึงเรียกว่าดับฉันนั้น
เพราะฉะนั้นพระเถรีจึงกล่าวว่า ความหลุดพ้นทางใจได้มีแล้ว เหมือนความ
ดับของประทีปที่ติดโพลง ฉะนั้น.
จบ อรรถกถาปฏาจาราเถรีคาถา

11. ติงสมัตตาเถรีคาถา


[449] พระเถรีประมาณ 30 รูปนี้ ได้พยากรณ์อรหัตผลในสำนัก
ของพระปฏาจาราเถรีอย่างนี้ว่า :-
มาณพทั้งหลายถือเอาสากตำข้าวเปลือก แสวง
หาทรัพย์มาเลี้ยงดูบุตรภริยา ท่านทั้งหลายจงทำตาม
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทำแล้วไม่ต้องเดือด
ร้อนในภายหลัง ท่านทั้งหลายจงรีบล้างเท้า แล้วนั่ง
ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง จงประกอบความสงบใจเนือง ๆ
กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า.
ภิกษุณีเหล่านั้น ได้ฟังคำสั่งสอนของพระปฏา-
จาราเถรีนั้นแล้ว ล้างเท้าเข้าไปนั่ง ณ ที่สมควรส่วน
หนึ่ง ได้ประกอบความสงบใจเนือง ๆ กระทำตามคำ
สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ในยามต้นแห่งราตรีระลึกถึง
ชาติก่อนได้ ในยามกลางแห่งราตรีชำระทิพยจักษุได้
ในยามปลายแห่งราตรีทำลายกองแห่งความมืดได้ พา
กันลุกขึ้นกราบเท้าพระเถรี พร้อมกับกล่าวว่า พวกเรา
ทำตามคำสอนของพระแม่เจ้าแล้ว จักอยู่ห้อมล้อมพระ
แม่เจ้า เหมือนทวยเทพชั้นไตรทศห้อมล้อมพระอินทร์
ผู้ชนะในสงครามฉะนั้น. พวกเรามีวิชชาสาม เป็นผู้
ไม่มีอาสวะ ดังนี้.

จบ ติงสมัตตาเถรีคาถา